ปั่นเดี่ยวเที่ยวสงกรานต์ (ตอนที่ 1)

There is great meaning in life for those who are willing to journey. — Jim England

เพียงไม่กี่วันก่อนสงกรานต์ ผมตัดสินใจจัดกระเป๋า เตรียมออกเดินทางอีกครั้ง ถึงจะไม่ได้เป็นกูรู แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาสองสามครั้ง มีส่วนช่วยมากในการจัดสัมภาระ ว่าอะไรควรเอาไป อะไรไม่ควรเอาไป รวมไปถึงการจัดระเบียบสิ่งของต่างๆในกระเป๋าทั้งสองใบ ว่าอะไรควรจะอยู่ตรงไหน

เย็นวันก่อนออกเดินทางผมลงทุนซื้อผ้าขนหนูไมโครไฟเบอร์ ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากเลยทีเดียว มันทำให้น้ำหนักในกระเป๋าของผมเบาลงมาก (รวมไปถึงกระเป๋าตังค์ของผมก็เบาลงด้วย -___-” ) แถมยังประหยัดพื้นที่ในกระเป๋าไปพอสมควร

ยางอะไหล่และเครื่องมือต่างๆ อุปกรณ์สำหรับอาบน้ำ อุปกรณ์การนอน ทุกอย่างถูกจัดเป็นชุดไว้อยู่แล้ว ทุกอย่างถูกจัดลงในกระเป๋าแพนเนียร์สองใบอย่างรวดเร็ว พร้อมสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น

วันที่ 13 เมษา วันที่คนส่วนใหญ่ตั้งหน้าตั้งตารอจะไปเล่นสาดน้ำ ผมตื่นแต่เช้า เอากระเป๋าที่จัดไว้เมื่อคืนใส่ตะแกรงหลัง ปั่นออกมาแวะเซเว่นหน้าคอนโดเพื่อตุนเสบียงและน้ำ แล้วก็ได้ยินเสียง “Hi!!” ไม่นึกว่าเค้าเรียกเรา แต่แถวๆนั้นไม่มีใครแล้วเลยหันไปดู

“Happy Songkran day!!” พร้อมกับระดมยิงปืนฉีดน้ำมา ปรากฏว่าเป็นสาวๆที่เพิ่งกลับจากการเล่นน้ำสงกรานต์ที่ RCA ถามว่าจะไปไหน ผมก็บอกไปว่าราชบุรี แต่ในใจจริงๆแล้วยังไม่รู้เลยว่าจะไปราชบุรีจริงหรือเปล่า ตอนนั้นยังตัดสินใจไม่ได้ระหว่าง ราชบุรี กับ เพชรบุรี

ในการปั่นจักรยานไปเที่ยวต่างจังหวัดของผมทุกครั้ง สิ่งที่ท้าทายและลำบากที่สุดก็คือหาทางออกจากกรุงเทพ ต้องหาข้อมูลเตรียมไว้ก่อน ไม่ใช่ว่านึกอยากจะออกทางไหนก็ได้ (จริงๆมันก็พอได้อ่ะนะ แต่ว่ามันไม่สนุกเลยที่จะไปปั่นทางเดียวกันกับรถยนต์ที่วิ่งกัน 100+ kph) จริงๆแล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะออกจากกรุงเทพทางไหนเหมือนกันรู้แต่ว่า เลียบคลองมหาสวัสดิ์ ซึ่งอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา

เริ่มต้นจากถนนที่ยุ่งเหยิงที่สุดในกรุงเทพ “สุขุมวิท” สุขุมวิทในตอนเช้าๆ วันหยุดแบบนี้ช่างแตกต่างกับวันปกติราวหน้ามือกับหลัง teen มันช่างโล่งปั่นสบายเหลือเกิน บวกกับอากาศเย็นๆในยามเช้า กลิ่นไอความชื้นจากฝนที่ตกลงมาไม่กี่วันที่ผ่านมา

ผ่านสยามด้วยความชิลกับอากาศเย็นๆ ที่ปะทะใบหน้า บรรดาพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายเริ่มจัดข้าวของ เตรียมรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเล่นน้ำสงกรานต์ในไม่กี่อีกชั่วโมงที่จะถึง ถังน้ำแข็งถูกลากมาวางตามข้างฟุตบาทอย่างมีระเบียบ แผงขายเสื้อผ้าริมฟุตบาทที่เราเห็นกันจนชินตาที่สยาม เวลานี้ได้เปลี่ยนไปเป็นแผงขายปืนฉีดน้ำ ถังน้ำ ดินสอพอง

ผมใช้เส้นทางเดิมตอนที่จะมาขึ้นรถไฟไปกาญจนบุรีเมื่อครั้งก่อน ปั่นผ่านหลานหลวง อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นถือว่าเป็นหลักกิโลเมตรที่ 0 ของทางหลวงสายหลักๆในประเทศไทย ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะพานปิ่นเกล้า ปฏิบัติการค้นหาทางไปถนนสายเลียบคลองมหาสวัสดิ์ก็ได้เริ่มต้นทันทีที่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาได้ ปั่นไป ก็ต้องคอย check google map ไปเรื่อยๆ จนเข้าไปถึงสถานีรถไฟ บางบำหรุ

Image

ในระหว่างที่กำลังหลงทางอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเรียกมาจากข้างทาง “สวัสดีค่า” ผมก็ทักทายกลับไปว่า “หวัดดีครับ” ตามมารยาทของคนปั่นจักรยานซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว เป็นธรรมเนียมที่ดีมากๆของการปั่นจักรยาน ไม่ว่าจะเจอกันที่ไหน ไม่รู้จักกันมาก่อน เราก็จะทักทายกันอยู่เสมอ จะหาบรรยากาศแบบนี้ไม่ได้เลยเวลาเราขับรถยนต์ ซึ่งแทบจะไม่มีการทักทายกันระหว่างเพื่อนร่วมทาง หรือถ้าจะมี ก็คงเป็นการบีบแตรด่ากันมากกว่า

หน้าร้านกาแฟแห่งหนึ่งมีรถจักรยานจอดอยู่หน้าร้านสองคัน ผมวกกลับเข้าไปถามทางไปถนนเลียบคลองมหาสวัสดิ์ ที่จะพาผมออกจากกรุงเทพ ที่ร้านกาแฟแห่งนี้ผมได้รู้จัก พี่เล็ก แล้วก็พี่เด๋อ เจ้าของจักรยานสองคันหน้าร้าน ซึ่งจะไปปั่นทางเดียวกับผมอยู่แล้ว ถือว่าโชคดีเอามากๆ ผมก็เลยขอติดสอยห้อยตามพี่สองคนไป พี่เล็กเป็นคนที่มีอัธยาศัยไมตรีดีมากๆ แถมยังแนะนำว่าให้ไปสวนผึ้ง แล้วยังได้ให้เบอร์ติดต่อ ของชมรมต่างๆในระหว่างทางที่ผมจะไปเผื่อมีเรื่องฉุกเฉินอะไร

Image

มีพี่เล็กกับพี่เด๋อ ช่วยนำทาง

เราสามคนเริ่มต้นปั่นจากร้านกาแฟแห่งนั้น ลัดเลาะไปตามหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งผมเห็นแล้วก็รู้สึกดีใจที่ได้เจอพี่ๆทั้งสองคน ถ้าให้ผมงมทางมาเอง บ่ายโมง ผมคงยังไม่ได้ออกจากกรุงเทพแน่ๆ เราปั่นมากันซักพักนึงก็เป็นถนนสายเลียบคลองมหาสวัสดิ์ เป็นคลองที่ผมไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน จนกระทั่งเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา

Image

พี่เล็กกับพี่เด๋อ ตั้งใจจะไปพิพิธภัณฑ์ รถโบราณ เจษฏาเทคนิค ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ก็เลยแวะไปดูด้วยกัน ที่นี่ไม่ได้มีเฉพาะ “รถ” โบราณเท่านั้น แต่ยังมีทั้งเครื่องบินรบสมัยเก่า เฮลิคอปเตอร์ มอเตอร์ไซค์ แล้วก็จักรยานแบบแปลกๆที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างเช่น จักรยานที่ปั่นกัน 8 คน จักรยานทำจากไม้ล้วนๆ (คงเอาไว้โชว์เฉยๆ ไม่แน่ใจว่าเอาไปปั่นจริงๆจะได้หรือเปล่า) ที่นี่ไม่เก็บค่าเข้าชมแต่อย่างใด แค่ลงทะเบียนเท่านั้น เราสามคนฝากรถไว้กับลุงคนขายไอติมใจดีหน้ามิวเซียม แล้วก็เดินเข้าไปดูกัน

Image

Image

Image

จากมิวเซียม อีกไม่นานเราก็ต้องแยกทางกัน เราก็ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันที่ตลาดท่านา แล้วพี่ทั้งสองคนก็ปั่นมาส่งผมอีกหน่อยนึง ตอนนั้นผมตัดสินใจแล้วว่าจะไปสวนผึ้ง ก็เลยถามทางจากคนขายสับปะรดข้างทาง แกก็แนะนำเส้นทางให้ เป็นเส้นที่วิ่งคู่ขนานไปกับทางรถไฟ บางช่วงของทางก็ติดๆกับทางรถไฟ บางช่วงก็แยกออกไปเข้าไปตามหมู่บ้านต่างๆ

ผมค่อนข้างสบายใจที่ได้วิ่งคู่ขนานไปกับทางรถไฟ เพราะอย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าไม่หลงแน่นอน แต่ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน จากถนนเลียบรางรถไฟ ราดยางอย่างดี อยู่ๆ ทางก็เล็กลงๆ จนกลายเป็นทางลูกรัง แล้วก็กลายเป็นทางที่รถใหญ่ผ่านไปไม่ได้ แต่ก็ยังพอมีร่องรอยล้อรถมอเตอร์ใซค์ที่ชาวบ้านแถวๆนั้นใช้ลัดเลาะไปบนทางดินเล็กๆนี้ ผมมองไม่เห็นเลยว่าไอ้ทางลูกรังเล็กๆเส้นนี้จะไปโผล่ที่ไหน หรือว่ามันจะเป็นทางตันหรือเปล่า แค่ปั่นไปตามสัญชาตญาณ ที่เห็นรอยล้อรถมอเตอร์ไซค์ ก็คงคิดว่าอย่างน้อยก็คงมีคนใช้เส้นทางนี้มันคงไปโผล่ซักแห่ง บางทีจะว่าไปมันก็เหมือนกับชีวิตคนเรา บางครั้งเราก็ไม่มั่นใจหรอกว่าจุดหมายข้างหน้าจะเป็นอย่างไร รู้เพียงแต่ว่าต้องเดินหน้าไปเรื่อยๆ เหมือนภาษาอังกฤษวลีนึงที่บอกว่า Leap of faith

Image

ผมปั่นอยู่ซักพักในที่สุดก็เจอทางราดยาง มุ่งหน้าสู่นครปฐม ผมถึงนครปฐมตอนไหนก็จำไม่ได้แล้ว แต่ตอนนั้นแวะพักข้างทาง check google map และคิดว่าคงไปถึง อ.บ้านโป่งก่อนมืด อาจจะหาที่พักแถวๆนั้น

ถนนเส้นนี้วิ่งเลียบคลองชลประทาน มุ่งหน้าเข้าสู่ อ. บ้านโป่ง ระหว่างทางบางช่วงก็จะมีเด็กๆ มากระโดดน้ำเล่นแถวๆนั้น แสงแดดที่ร้อนแรงตอนกลางวัน ในเดือนที่ร้อนที่สุดของปี ไอร้อนจากถนนระอุ ต่างกับเมื่อตอนเช้าอย่างลิบลับ ทำให้อยากจะจอดจักรยาน โดดลงไปเล่นน้ำด้วยกันกับเด็กๆเหลือเกิน แต่ด้วยระยะทางยังอีกยาวไกล จึงต้องปั่นต่อไป

ในที่สุดก็มาถึงบ้านโป่งเวลาประมาณ บ่ายสามกว่าๆ แวะร้านข้างทาง หาอะไรใส่ท้อง ด้วยอาหารง่ายๆ อย่าง กระเพราไข่ดาว แม่ค้าบอกว่าอีกไม่เกิน 20 โล ก็ถึง โพธารามแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจไปต่ออีกหน่อย ค่อยไปพักที่โพธาราม พรุ่งนี้จะได้สบายๆ ปั่นระยะทางไม่ไกลมาก

“โพธาราม เมืองคนสวย” ป้ายทางเข้าตัวอำเภอบอกอย่างนั้น ผมไม่มีโอกาสได้เจอหรอก เพราะว่ากว่าผมจะไปถึงก็ค่อนข้างเย็นแล้ว เลยจดจ่ออยู่กับการหาที่พักสำหรับคืนนี้ โพธาราม เป็นอำเภอที่ค่อนข้างสงบมากๆ สะอาด ร่มรื่น น่าอยู่ เหมาะแก่การไปพักผ่อน (หมายถึงไปพักผ่อนจริงๆนะ ไปนอนอ่านหนังสือเล่น อะไรแบบนี้) ผมปั่นไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็เกือบจะพ้นตัวเมืองแล้ว สังเกตได้จากจำนวนบ้านเรือนที่บางตา เลยตัดสินใจกลับรถ ปั่นกลับไปที่วัดที่เพิ่งผ่านมา

Image

โพธาราม เมืองคนสวย

ผมไม่เคยนอนวัด ผมเป็นคริสต์ตั้งแต่เด็ก ไม่ได้มีอะไรผูกพันกับวัดเลย วันนี้คงเป็นครั้งแรกที่ได้นอนวัด ผมปั่นเข้าไปในวัด เห็นหลวงพี่กำลังกวาดวัดอยู่ ผมก็เลยขออนุญาติท่านกางเต็นท์นอนในวัดสำหรับคืนนี้ หลวงพี่ท่านก็เมตตา บอกว่าตามสบายเลยโยม เลือกๆเอาเลย สรุปวันนั้นเลยเข้าไปกางเต๊นท์ในศาลาฌาปนกิจ เพราะว่ามีหลังคา (เผื่อมีฝนตก) และก็มีไฟฟ้าให้ชาร์จมือถือ (สำหรับใช้ google map สำหรับวันพรุ่งนี้)

ก่อนนอน ลูกศิษย์วัดคนนึงเดินมาทักทาย ถามว่า “นอนตรงนี้เลยเหรอพี่??” “แน่ใจนะ?”

เอ๊ะ หมายความว่าไง?? คืนนั้นก็เข้านอนด้วยความสงสัย ซักประมาณ ตีหนึ่งตีสอง หมาในวัดเริ่มตั้งวงออเครสตร้า หอน ประสานเสียงราวกับเป็นซิมโฟนีหมายเลขหนึ่ง -___-” ตอนแรกก็ไม่รู้ทำไงดี แต่พอหลังๆเริ่มคิดได้ว่า สงสัยมันคงหอนผมมากกว่านะ แล้วก็หลับไปด้วยความเพลีย

One thought on “ปั่นเดี่ยวเที่ยวสงกรานต์ (ตอนที่ 1)

  1. ผ่านมาท่านาคราวหน้าโทรมาได้คับ. แวะมากินน้ำซักแก้วก่อนค่อยลุยต่อ ฮ่าๆๆ

Leave a reply to พี่แบงค์ Cancel reply